ศุกร์สมุนไพร EP.085

{Recent News}
ศุกร์สมุนไพร EP.085
—-
ชงโค ไม้ประดับเสริมสิริมงคล
.
ชงโคเป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เป็นต้นไม้ที่มีกลีบดอกสีม่วง ชงโคมีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น อินเดีย พม่า ไทย กัมพูชา มาเลเซีย และสิงคโปร์ โดยชงโคยังเป็นต้นไม้มงคลตามความเชื่อของชาวฮินดู โดยเชื่อว่าชงโคเป็นต้นไม้ของสวรรค์ขึ้นอยู่ในเทวโลก อีกทั้งชงโคยังเป็นต้นไม้ของพระลักษมี พระชายาของพระนารายณ์ จึงจัดว่าชงโคนั้นเป็นไม้มงคลที่ควรปลูกเอาไว้เพื่อความเป็นสิริมงคล มีการสันนิษฐานว่า ชงโคเข้ามาในไทยตั้งแต่สมัยอยุธยาเป็นต้นมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เพราะชงโคมีชื่อปรากฏอยู่ในวรรณคดีไทย ในหนังสืออักขราภิธานศรับท์ พ.ศ. 2416 ซึ่งอธิบายเกี่ยวกับชงโคไว้ว่า “ชงโคเป็นชื่อต้นไม้อย่างหนึ่งเหมือนอย่างต้นกาหลง แต่สีมันแดง”
.
ชงโค ชื่อวิทยาศาสตร์และลักษณะทางพันธุศาสตร์
ชงโคมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Bauhinia Purpurea Linn. อยู่ในวงศ์ Leguminosae เช่นเดียวกับกาหลง ทำให้มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ที่คล้ายกัน และนอกจากชื่อชงโคแล้ว ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น เสี้ยวหวาน เสี้ยวดอกแดง หรือชงโคในภาษาอังกฤษว่า Orchid Tree
.
สำหรับลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของต้นชงโคนั้นเป็นไม้ยืนต้นขนาดย่อม ความสูงของต้นประมาณ 5-10 เมตร กิ่งอ่อนมีขนปกคลุม ผลัดใบช่วงสั้น ๆ ใบเป็นใบเดี่ยวออกสลับ รูปร่างใบมนเกือบกลม ปลายของใบเว้าลึกมาก คล้ายรูปหัวใจ หรือรูปผีเสื้อ ใบกว้าง 8-16 เซนติเมตร ยาว 10-14 เซนติเมตร ขอบใบเรียบ
.
ดอกชงโคมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ โดยดอกจะออกช่อตามปลายกิ่ง แต่ละช่อมีดอกประมาณ 6-10 ดอก แต่ละดอกมีกลีบ 5 กลีบ ดอกมีสีชมพูถึงม่วงอมแดง ลักษณะดอกคล้ายดอกกล้วยไม้ ตรงกลางของดอกจะมีเกสรตัวผู้เป็นเส้นยาว 5 เส้น และมีเกสรตัวเมียอยู่ตรงกลาง 1 เส้น ยาวเด่นกว่าเกสรตัวผู้
.
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากราก ใบ ลำต้น รวมถึงน้ำมันหอมระเหยจากดอกชงโค ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดดังนี้ สารสกัดเอทานอลจากรากพบสาร bauhiniastatins pacharin และ 5,6-dihydroxy-7-methoxyflavone 6-O-bD-xylopyranoside สารสกัดเมทานอลจากส่วนลำต้นพบสาร 2, 3-dihydroxypropyl oleate, 2,3 dihroxypropyl linoleate, 2,3- dihydroxypropyl 16-hyroxy–decanoate และ 6-butyl-3-hydroxyflavanone, 6-(3”-oxobutyl)-taxifolin สารสกัดอะซีโตนจากใบพบสาร bis [3’,4’-dihydroxy-6-methoxy-7,8-furano-5’,6’-mono methylalloxy]-5-C-5-biflavonyl และ (4’-hydroxy-7-methyl 3-C-α-L-rhamnopyranosyl)-5-C-5-(4’-hydroxy-7- methyl-3-C-α-D-glucopyranosyl) bioflavonoid รวมถึง leutin และ β-sitosterol ส่วนน้ำมันหอมระเหยจากดอกพบสารกลุ่ม monoterpenes เช่น a-terpinene, limonene, myrcene, linalool, citronellyl acetate และสารกลุ่ม phenylpropanoid ได้แก่ eugenol อีกด้วย และในสารสกัดไดคลอไรมีเทนจากส่วนรากของชงโค พบสารอีกหลายชนิด เช่น bauhinoxepin, bauhinobenzofurin A, bauhispirorin A, bauhinol E, (-)-strobopinin และ demethoxymatteucinol และ bibe การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของชงโค
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดชงโค จากส่วนต่างๆ ระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้
– ฤทธิ์ต้านการเกิดแผลในระบบทางเดินอาหาร มีรายงายผสมการศึกษาวิจัยฤทธิ์ต้านการเกิดแผลในระบบทางเดินอาหาร ของสารสกัดน้ำจากใบชงโค โดยสารสกัดน้ำจากใบชงโคที่ป้อนให้แก่หนูแรททุกขนาด สามารถยับยั้งการเกิดแผลในระบบทางเดินอาหารได้ นอกจากนี้ยังมีรายงานผลการศึกษาวิจัยในต่างประเทศระบุว่า สารสกัดเมทานอลจากส่วนเปลือกลำต้นของชงโค ในขนาด 100 มก./กก. มีฤทธิ์ต้านการเกิดเบาหวานในหนูที่ถูกชักนำโดย alloxan สารสกัดไดคลอโรมีเทน จากส่วนรากของชงโคในขนาด 5.8-11.2 micromolar มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อมาลาเรียชนิด PF. และในขนาด 49.6-130.1 micromolar มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อรา Candida albicans
– สารสกัดเมทานอลจากใบชงโคในขนาด 50,250 และ 500 มก./กก. มีฤทธิ์ป้องกันตับในหนูทดลองที่เกิดจากการให้ยาพาราเซตามอลทางปาก
สารสกัดน้ำจากใบของชงโคในขนาด 254 มก./กรัม มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระโดยได้ทำการทดสอบจากการกำจัดไนตริกออกไซด์
– สารสกัดเอทานอลจากเปลือกต้น ในขนาด 100 และ 200 มก./กิโลกรัม มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านข้ออักเสบ ในหนูทดลองที่มีอาการบวมน้ำที่อุ้งเท้าที่ถูกชักนำให้เกิดจากราคาจีแนน
– สารสกัดเมทานอลจากใบชงโคในขนาด 100,500 มก./กก. มีฤทธิ์ป้องกันแผลในกระเพาะอาหาร กระตุ้นให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารด้วยอินโดเมทาซิน
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของชงโค
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของสารสกัดจากใบชงโค โดยมีการศึกษาวิจัยพิษเฉียบพลันโดยการป้อนสารสกัดน้ำใบชงโคแก่หนูแรทขนาด 5,000 มก/กก. ในครั้งเดียว ผลปรากฏว่าไม่พบความเป็นพิษแต่อย่างใด
สรรพคุณของชงโคนั้นมีเยอะมากๆ
.
ตามตำราแพทย์แผนไทย ชงโคมีสรรพคุณด้านสมุนไพร ดังนี้
1. แก้ไอ: ใบชงโคสามารถนำไปต้มแล้วจิบเป็นชาแก้อาการไอได้
2. ยาระบาย: ตำรับยาแผนไทยใช้รากชงโคล้างสะอาด ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาระบาย แก้อาการท้องผูก ถ่ายยาก และยังมีฤทธิ์ช่วยขับลมในร่างกายอีกด้วย
3. รักษาแผล ฝี: ใบชงโคล้างสะอาดตำให้แหลกแล้วนำมาพอกฝี รักษาแผลได้ แต่ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงโอกาสติดเชื้อที่แผล แนะนำว่าอย่าโปะใบชงโคลงไปบนแผลโดยตรงจะดีกว่า
4. แก้ท้องเสีย แก้บิด: เปลือกต้นชงโคมีสรรพคุณช่วยแก้ท้องเสีย แก้ปวดบิด
5. แก้พิษร้อน แก้ไข้: ดอกชงโคไม่ได้งามตาเท่านั้น แต่ยังมีสรรพคุณแก้พิษร้อนจากเลือดและน้ำดี แก้ไข้
นอกจากนี้ชงโคยังมีสรรพคุณช่วยขับปัสสาวะ ช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร ได้ด้วยนะคะ บอกแล้วว่าชงโคเป็นต้นไม้ที่มีสรรพคุณทางยาไม่น้อยหน้าดอกไหน ๆ เลยล่ะ
.
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
ในการใช้ชงโค เป็นสมุนไพร ในการบำบัดรักษาโรคต่างๆ นั้นควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพร ชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาดและปริมาณที่เหมาะสมที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาดและปริมาณที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้
.
ภาพประกอบ : ภาพที่ 1 ดอกและใบชงโค (ที่มา: https://health.kapook.com/view206436.html และ https://health.kapook.com/view206436.html )
.
เรียบเรียงโดย :
อาจารย์ ดร. นิลุบล สอนแก้ว
อาจารย์ประจำสาขาวิชาสมุนไพรและกัญชาศาสตร์
คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
.
References :
1.หมอชาวบ้าน
.
ติดตามข่าวสารต่างๆ ของมหาวิทยาลัยได้ที่ : www.bsru.ac.th และ www.prinfo.bsru.ac.th
—-
ภาพ/ข่าวโดย : เครือข่ายนักประชาสัมพันธ์ สาขาวิชาสมุนไพรและกัญชาศาสตร์
—-
#BSRURecentnews ศุกร์สมุนไพร EP.085 #BSRUNews
.
.